SHARE
9 Cool Things in Ureshino

9 สิ่ง มากพลังดึงดูดและดีต่อใจในยูเระชิโนะ

SHARE

คือต้องบอกเลยว่า ขอเชียร์เมืองนี้แบบสุดใจเพราะอยากให้คนไทยไปเที่ยวกันเยอะๆ กับเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) ที่เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดซากะ (Saga) บนเกาะคิวชู ซึ่งอยู่ระหว่างจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) และจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki)

เมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบสัมผัสธรรมชาติ วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น งานฝีมือชุมชน ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ของกินอร่อยและราคาเป็นมิตร ซึ่งไม่ว่าจะมาเที่ยวแบบฉายเดียว หรือมาเป็นคู่รัก Couple หรือคู่เพื่อน หรือจะยกพลมาทั้งครอบครัวแบบ Family นี่ก็เหมาะมากเหมาะจริง และนี่คือ 9 สิ่งดีต่อใจ ที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) สักครั้ง

1. God of Beauty Skin เทพเจ้าแห่งผิวผ่องใส


ที่เมืองยูเรชิโนะ (Ureshino)  มีสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่คนท้องถิ่นต่างแวะเวียนกันมาประจำ รวมถึงคนญี่ปุ่นจากเมืองอื่น ก็นิยมนั่งรถข้ามเมืองมาเยือนศาลเจ้าโทโยทะมะ ฮิเมะ กันไม่น้อย เพราะศาลเจ้าแห่งนี้มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่ามีสาวงามผู้หนึ่งนามว่า โทโยทะมะ ฮิเมะ ซึ่งเป็นเทพธิดามังกรที่มีผิวขาวราวหิมะ และมีปลาดุกเผือก นามะซุซามะ(Namazu Sama) เป็นผู้ติดตามรับใช้ โดยครั้งหนึ่งในยุคสมัยนั้นมีการระบาดของโรคผิวหนังในหมู่บ้าน ปลาดุกจึงช่วยเหลือโดยให้ผู้ป่วยมาสัมผัสตัวเพื่อช่วยปัดเป่าโรคร้ายให้สุขภาพผิวกลับมาดีและสวยงามอีกครั้ง ทุกวันนี้ภายในบริเวณศาลเจ้า จึงยังมีรูปปั้นปลาดุกสีขาวตั้งอยู่เพื่อให้ผู้คนได้มารดน้ำชำระล้างสักการะ และลูบที่ผิวปลาดุก โดยเชื่อว่าจะส่งผลให้มีผิวที่ขาวผ่องใสยิ่งขึ้น หนุ่มๆ สาวๆ จึงนิยมมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อขอพรให้มีผิวที่สวยกระจ่างใสสมใจ

2. Signature Taste ตำรับความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


เมืองยูเรชิโนะ (Ureshino)  มีอีกชื่อหนึ่งที่คนญี่ปุ่นเรียกขานกันคือ Ureshino Onsen ซึ่งเหตุผลที่คนญี่ปุ่นเรียกเช่นนี้ ก็เพราะที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำแร่ออนเซน หรือบ่อน้ำพุร้อนอยู่ในอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น และเมื่อเป็นเมืองที่มีน้ำแร่ที่ดี บวกกับความเป็นคนเจ้าความคิดของคนญี่ปุ่น ตำรับอาหารท้องถิ่นของที่นี่จึงเป็นผลิตผลจากน้ำแร่ คือ Ureshino Onsen Yudofu หรือเต้าหูออนเซนแห่งเมืองยูเรชิโนะ อันนี้บอกเลยว่าเป็นสุดยอดความอร่อยระดับตำนาน ที่นอกจากรสชาตินวลเนียนนุ่มละมุนลิ้นแล้ว ยังมีประโยชน์กับสุขภาพกายและสุขภาพผิว เพราะมีส่วนผสมของถั่วขาวญี่ปุ่น และน้ำแร่ออนเซนของเมืองยูเรชิโนะ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำแร่ที่มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับร่างกายมากทีเดียวครับ

ในเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino)  มีร้านอาหารที่ขาย Ureshino Onsen Yudofu หลายร้านด้วยกัน แต่ร้านที่อยากแนะนำเป็นพิเศษชื่อร้าน Hirakawaya ซึ่งเป็นร้านที่เก่าแก่และโด่งดังของเมืองที่ทุกเมนูความอร่อยของร้านล้วนทำมาจากเต้าหู้ออนเซนทั้งสิ้น



นอกเหนือจากเต้าหู้ออนเซนแล้ว เมนูความอร่อยอย่างอื่นยังดีงามไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นราเมงรสเผ็ดของท้องถิ่น หรือร้านแนวอิชากายะ Isagaya ที่ทั้งอร่อยและราคาเป็นมิตรมากๆ เพราะถ้าไปกินในเมืองใหญ่ๆ อย่างโตเกียวหรือโอซาก้า สั่งมาเหมือนกันแต่ราคาสูงกว่ามากแน่นอน และสำหรับคนชอบไอศกรีม Soft Cream ขอแนะนำรสมันเผา ที่หอมกลิ่นมันเผาอ่อนๆ มีเนื้อมันเผาอยู่ในเนื้อไอศกรีม ที่บอกได้คำเดียวว่ารสชาติความอร่อยยังคงติดปลายลิ้นแบบลืมไม่ลงจริงๆ 

3. Ureshino Bihaku Onsen ออนเซนเพื่อผิวสวยกระจ่างใส


เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนญี่ปุ่นเลยว่า ถ้ามาเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) แล้ว ไม่แช่ออนเซนนี่ถือว่าพลาดแบบน่าตีให้ผิวแตกจริงๆ (ฮ่าๆๆ) คือคนญี่ปุ่นต่างรู้กันดีกว่าเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) เป็นเมืองที่มีออนเซนที่มีน้ำแร่คุณภาพเยี่ยมเพื่อผิวสวยกระจ่างใส โดยในเมืองจะมีออนเซนที่เรียกว่า Ureshino Bihaku Onsen ที่สาวๆ ญี่ปุ่นในละแวกเมืองใกล้เคียงจะดั้นด้นเดินทางมาที่เมืองนี้ เพื่อหาโอกาสแช่ออนเซน Ureshino Bihaku Onsen โดยจะมาใช้ชีวิตใน Ureshino Bihaku Onsen Ryokan ที่มีกิจกรรมที่เสริมส่งให้ผิวสวยกระจ่างใสให้ทำมากมาย รวมไปถึง Ureshino Hot Springs Public Bath "Siebold-No-Yu” ที่แช่ออนเซนสาธารณะเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุค Edo ที่ได้รับการปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อปี 2010 ภายในยังคงเก็บรักษาบรรยากาศและบ่อแช่น้ำพุร้อนแบบดั้งเดิม ที่นี่เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 5 ทุ่ม ค่าบริการเพียงคนละ 400 เยนเท่านั้น และสำหรับเด็กๆ เพียงคนละ 200 เยน นอกจากนี้ยังมีบ่อออนเซนสำหรับแช่เท้าในที่สาธารณะกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ของเมือง อันนี้คือดีงามในความสะดวกสบาย คือ เดินมาเมื่อยๆ ก็แวะแช่เท้าได้แทบจะทันที แถมฟรีอีกด้วย ชอบตรงนี้ 

4. Charming Nature พลังดึงดูดของวิวธรรมชาติ


อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกว่าที่เมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) นี่ ธรรมชาติดีงาม ภูเขาสวย ทะเลสาบอลัง ไม่ว่าจะมาฤดูไหน บอกได้คำเดียวว่าวิวเมืองที่นี่อาจทำให้ลืมหายใจได้ในชั่วขณะ อย่างที่ Kasuga Gorge คือไหล่เขาแห่งหนึ่งในเมืองยูเรชิโนะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่มีวิวของใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม เพราะมีทั้งเวิ้งทะเลสาบและน้ำตก ถ้ามาเมืองนี้ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีพอดี บอกเลยว่าที่นี่คืออีกหนึ่งจุด Check In ที่ห้ามพลาด

5. Romance Park สวนแห่งรัก


สวย สงบ และรื่นรมย์ คือ คำนิยามที่เราอยากยกให้กับที่นี่ ที่ Todoroki-No-Taki Waterfall Park ซึ่งเป็นสวนสวยที่เปิดให้เข้าฟรี มีน้ำตกอันงดงามที่เป็นผลพวงมาจากแม่น้ำ Ureshino River ที่เกิดจากแม่น้ำ 2 สาย ที่ไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำ Shioda River และ Iwayagauchi River แถมยังมีช่วงที่ไหลพาดผ่านห่างจาก  Ureshino Hot Spring town เพียง 1 กม. เท่านั้น  สวน Todoroki-No-Taki Waterfall Park แห่งนี้บรรยากาศดี เหมาะกับการจูงมือคนรัก หรือคนพิเศษมาเดินเล่นรับวิวสวยๆ ที่ไม่ว่าจะมาฤดูไหน วิวก็ชนะเลิศ เห็นคนท้องถิ่นบอกว่าถ้าช่วงซากุระบานนี้ งามแบบยอมตาย แถมคนไม่วุ่นวายมากด้วย หรือจะมาตอนใบไม้เปลี่ยนสีก็ชนะเลิศไม่แพ้ที่ไหนๆ

6. Unique Festival เทศกาลดีงามไม่ซ้ำใคร


ด้วยเพราะเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) เป็นเมืองเล็กๆ ประชากรไม่หนาแน่นมาก ที่นี่จึงมีงานเทศกาลประจำเมืองที่เป็นเอกลักษณ์และอบอุ่น โดยเฉพาะงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงประจำปีเมืองยูเรชิโนะ ออนเซน  (Ureshino Onsen Autumn Festival) ที่จะมีขบวนพาเหรดที่ชาวเมืองจะมาร่ายรำเพลงเฉลิมฉลองของฤดูใบไม้ร่วงไปด้วยกัน ซึ่งชาวเมืองแทบทุกวัยจะมาร่วมร่ายรำกันในขบวนพาเหรด ที่จะเดินๆ เต้นๆ ร่ายรำกันแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วต่อด้วยขบวนแห่ศาลเจ้า ที่มีทั้งขบวนแห่งเทพ และขบวนของหน้ากากฟุริว โดยระหว่างทางที่ขบวนจะเคลื่อนไปที่ศาลเจ้าโทโยทะมะ ฮิเมะ จะมีศาลเจ้าจำลองอยู่ในขบวนแห่ เพื่อให้ผู้คนในเมืองได้เดินลอดศาลเจ้าเพื่อความเป็นศิริมงคล 

7. Ninja Village หมู่บ้านนินจาโบราณ


สำหรับแฟนนินจา หรือครอบครัวที่มีเด็กๆ เราขอแนะนำ หมู่บ้านนินจา ไฮเซน ยูเมไคโดะ (Hizen Yumekaido) ซึ่งเป็น Theme Park ที่จำลองหมู่บ้านนินจาของญี่ปุ่นในยุคเอโดะ (Edo) ที่เคยอยู่ที่เมืองยูเรชิโนะมาก่อนในอดีตกาล ซึ่งหมู่บ้านนินจาจำลองแห่งนี้ มีกิจกรรมให้ได้สนุกและเพลิดเพลินกันมากมาย เช่น เหล่านินจาที่จะเดินมาทักทายตลอดเวลา และไม่เหนียมอายเมื่อถูกขอให้ถ่ายรูป รวมไปถึงบริการให้เช่าชุดนินจาพร้อมอุปกรณ์ครบมือ ไว้ใส่ถ่ายรูปใส่เดินเที่ยว การแสดง Karakuri Muge Yashiki หรือโชว์หุ่นเชิดนินจา และ Ninpou Gojaru การจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเหล่านินจา และที่เป็นไฮไลต์และไม่ควรพลาดคือโรงละครจำลอง Hagakure Ninja Yashiki ที่จัดแสดงโชว์ต่างๆ ของนินจาให้ได้ตื่นตาตื่นใจ

8. Porcelain DIY & Museum พิพิธภัณฑ์เซรามิค และการฝึกทำด้วยตัวเอง


อีกหนึ่งความดีงามของกิจกรรมสายศิลปะ ของเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) คือพิพิธภัณฑ์เซรามิคที่อยู่ในย่านที่มีโรงงานปั้นและเผาเซรามิคในพื้นที่เดียวกัน พูดได้ว่ามาเยี่ยมชมโรงงาน ได้ดูพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ได้ลงมือทดลองทำ ด้วยการลงสีเพ้นท์ลายบนเซรามิครูปทรงต่างๆ ที่มีให้เลือกตามชอบ จากนั้นทางโรงงานจะนำไปเผา แล้วจัดส่งให้ตามที่อยู่ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร้านเซรามิคมากมายหลายร้าน ที่ขอเตือนล่วงหน้าว่าคนที่โปรดงานเซรามิคสไตล์ญี่ปุ่น มีช้อปเพลินอย่างแน่นอน

9. Ureshino Tea Dyeing ชามัดย้อม


เมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) เป็นเมืองที่นอกจากจะโด่งดังในเรื่องออนเซนแล้ว เรื่องชานี่ก็ไม่เป็นรองเมืองอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ชาของที่นี่ติดอันดับชารสชาติดีในอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว และอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราอยากแนะนำคือการมัดย้อมชา หรือ Ureshino Tea Dyeing โดยขั้นตอนเบื้องต้นก็เหมือนการย้อมครามของบ้านเรา แต่ที่แตกต่างกัน เพราะที่นี่ใช้ชาเป็นตัวทำสีสำหรับย้อม โดยใช้ชาและน้ำแร่ออนเซน มาเป็นวัตถุดิบหลักในการย้อม ซึ่งเราเชื่อว่าแร่ที่อยู่ในน้ำพุร้อนออนเซนของเมืองนี้ มีผลกับสีและคุณภาพเมื่อทำการย้อมกับชาท้องถิ่นของที่นี่ กิจกรรมการทำ Ureshino Tea Dyeing  จะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนการทำ ผ่านการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่จะมาสอนเราตั้งแต่วิธีการมัดอย่างไรถึงจะได้ลายแบบไหน ลายพื้นฐานมีลายอะไรบ้าง รวมไปถึงขั้นตอนการเตรียมชาสำหรับทำการย้อม จนเสร็จสิ้นทุกขั้นตอน ค่าบริการเพียงคนละ 1,000 เยน เรียนเสร็จได้ผ้าที่เราย้อมติดมือกลับบ้านไปด้วย
 

และที่เล่ามาทั้งหมด คือความดีงามของเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) ที่ดีต่อใจและควรค่าแก่การไปเยือน เหมาะสำหรับทุกคน ยิ่งไปกันแบบหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปเพื่อน หรือกลุ่ม Family ยกโขยงกันไปทั้งครอบครัว เมืองนี้ตอบโจทย์แบบลงตัวอย่างไม่ต้องมีอะไรให้กังวล

ส่วนการเดินทางไปเมืองนี้นั้นแสนง่ายและไม่ลำบาก เพราะที่สนามบินฟุกุโอกะ มีรถ High Way Bus วิ่งตรงถึงเมืองยูเรชิโนะ (Ureshino) เลย ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นเอง แวะพักแวะเที่ยวที่เมืองนี้สัก 3-4 วันกำลังดี เพราะเป็นเมืองเล็กๆ เที่ยวแบบสโลวไลฟ์แป๊บเดียวก็ทั่ว ถือเป็นเพียงที่มีอะไรๆ ดีเยอะ แต่คนยังไม่ค่อยรู้จักมากเท่าไหร่ แนะนำว่าให้รีบไปเที่ยวก่อนฮิตและคนจะเยอะ เที่ยวก่อนได้ฟินก่อนใครครับ

RELATED