เพชรบูรณ์ หน้าร้อนก็เที่ยวได้
ในยามที่อยากพักผ่อน อยากบินไปซบทะเลหมอกบนภูสูง ก็มักมีเสียงจากคนรอบข้างบอกว่าช้าก่อน...ไปตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอหน้าหนาวก่อน และแน่นอนว่าพอหน้ามาถึง ภาพวิวพาโนรามายืนรับลมหนาวท่ามกลางทะเลหมอกสวยๆ อาจเป็นฝันสลาย เพราะพอถึงเวลานั้นนักท่องเที่ยวก็แห่แหนกันไปเป็นทิวแถว แล้วจะตั้งตารอหน้าหนาวทำไม เพราะจริงๆ แล้ว หลายคนอาจไม่รู้ว่าที่เที่ยวสุดฮิตอย่างภูทับเบิก หรือเขาค้อนั้น ต่อให้ไปหน้าร้อน ตื่นมาตอนเช้า ก็ได้เจอทะเลหมอก และลมหนาวเย็นๆ ในยามค่ำๆ ไม่ต่างกัน
ทริปนี้เราหนีร้อนในกรุงเทพฯ เมืองที่พูดได้เต็มปากว่า “ร้อนทั้งปี” โดยมีหมุดหมายปลายทางอยู่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาด้วยประสบการณ์ตัวเอง ว่าที่หลายคนบอกว่าหนาวและเย็นทั้งปีนั้น จะจริงแค่ไหน
ON BOARD
เราออกเดินทางโดยการวางแผนให้ชีวิตสบายและประหยัดเวลาในการขับรถไกล ด้วยการเลือกใช้สายการบินนกแอร์ ไปลงที่พิษณุโลก แล้วเลือกใช้บริการ Fly n’ Ride บริการบินต่อรถ ที่นกแอร์จัดสรรไว้อำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารที่ต้องเดินทางต่อไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งง่ายมากเพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ของนกแอร์ แล้วเลือกบริการ Fly ‘n’ Ride แล้วเลือกจุดหมายปลายทางได้เลย ซึ่งนอกเหนือจากเพชรบูรณ์แล้ว ก็ยังมีเมืองหรือจังหวัดอื่นๆ ที่มีบริการนี้ควบคู่อยู่ด้วย ถือว่าเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น นั่งเครื่องถึงสนามบินแล้ว ก็มีรถมารับไปส่งปลายทางต่อเลย
TASTY ON THE PLANE
ใครว่าบินกับนกแอร์แล้วไม่มีทางเลือกเรื่องอาหารการกินบนเครื่องนี่ ขอยกมือค้านหนึ่งเสียงเลยนะ เพราะตอนนี้นกแอร์ทุ่มเทเรื่องการให้บริการกับผู้โดยสารในแทบทุกๆ ส่วน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องเมนูอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องก็มีให้เลือกและสร้างสรรค์มาได้อย่างน่าสนใจและน่าลิ้มรสมากๆ
เที่ยวบินนี้ก็ได้ลองสั่ง “ข้าวกุ้งล็อบสเตอร์ผัดพริกเกลือ” ที่เห็นรูปจากหน้าเว็บไซต์ของนกแอร์แล้ว ต้องแอบปาดน้ำลาย และในที่สุดก็ได้มีโอกาสลิ้มรสกุ้งล็อบสเตอร์บนฟ้ากับนกแอร์เป็นครั้งแรก บอกเลยว่ารสชาติและความอร่อยนี่ไม่เป็นรองร้านอาหารที่มีดาวเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นอีกหนึ่งมื้ออร่อยที่หากมีโอกาสใช้บริการกับนกแอร์อีกเมื่อไหร่ ต้องสั่งเมนูนี้อีกแน่นอน
HELLO PHITSANULOK
มาถึงพิษณุโลกแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะแวะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช ซึ่งนับเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่คนไทยศรัทธาและนิยมเดินทางมากราบไหว้มากที่สุดองค์หนึ่ง โดยองค์พระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หล่อขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) ซึ่งครั้งนั้นได้สร้างพระพุทธชินราช พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
รถสามล้อหัวกบ บริเวณวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งนอกจากจังหวัดตรังที่ยังคงอนุรักษ์ ก็มีที่หน้าวัดนี้อีกหนึ่งแห่ง ที่ยังพอหาดูได้และยังคงนำมาวิ่งให้บริการอยู่ในทุกวันนี้
ดอกบัวและดอกสาละ ไม้มงคลประจำวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
ทำบุญเสร็จแล้ว เดินออกมาด้านหน้าวัดจะมีตู้ไปรษณีย์โบราณที่ไม่แน่ใจว่าจะยังคงนำจดหมายมาหย่อนในตู้ใช้งานได้ปกติอยู่หรือไม่
CHINESE PEACE GARDEN
เสร็จสิ้นจากการแวะสักการะพระพุทธชินราช ก่อนมุ่งหน้าสู่เพชรบูรณ์ เราก็ถือโอกาสแวะโรงเจไซทีฮุกตึ๊ง ที่ได้ข้อมูลมาว่าเป็นสถานที่ที่งดงามและสงบราวกับเป็นสวนสวรรค์แห่งการพักผ่อน ซึ่งโรงเจไซทีฮุกตึ๊ง ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 12 ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกราวๆ 14 กิโลเมตรเท่านั้น โดยเป็นเส้นทางที่ใกล้กับทางขึ้นเขาวัดราชคีรีหิรัญยาราม หรือวัดเขาสมอแคลง ที่ได้ชื่อว่าเป็นดอยสุเทพแห่งที่ 2 ของไทย
โรงเจไซทีฮุกตึ๊งแห่งนี้ เป็นเสมือนศูนย์รวมสำหรับเป็นที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของศาลเจ้าขององค์เทพต่างๆ ทั้งเทพเจ้าเห้งเจีย พระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันเนตรพันกร และเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นสวนดอกไม้ และชานด้านนอกที่ร่มรื่นและตกแต่งอย่างร่วมสมัย เพื่อให้ทุกคนที่มีโอกาสได้มาที่โรงเจแห่งนี้ สามารถใช้เวลาพักผ่อนได้อย่างสบายใจทั้งครอบครัว คือไม่ว่าจะอยู่ในวัยหรือช่วงอายุเท่าไหร่ ก็น่าจะมีสิ่งที่สร้างความประทับใจและสบายใจตลอดเวลา
เทพเจ้าจี้กง
HEAVEN ON THE HILL
จากโรงเจไซทีฮุกตึ๊ง เราก็มุ่งตรงสู่ที่พัก ที่เพชรบูรณ์ ที่เราตั้งใจและมุ่งมั่นมาเพื่อพิสูจน์ว่าจะอากาศดี วิวสวย ตื่นเช้ามาเจอทะเลหมอกเหมือนที่ได้ยินจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาหรือไม่ ที่พักที่เรากำลังพูดถึงคือที่ “โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ” เราได้ยินมาว่าอุณหภูมิตอนกลางคืนของที่นี่ไม่เคยเกิน 25 องศา เรียกได้ว่านอนสบายๆ ไม่ต้องพึ่งแอร์กันเลยทีเดียว
โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ ตั้งอยู่บนเนินเขาภูแก้ว มีพื้นที่มากถึง 500 ไร่ของเขาค้อ จริงๆ แล้วตอนแรกที่รู้ว่าจะมาพักที่นี่ ก็งงๆ กับชื่อนิดหน่อยว่าควรจะเรียกว่า โรงแรม หรือ รีสอร์ต ดี แต่พอมาถึงเท่านั้นแหละ ขอนิยามให้ว่าที่นี่ควรเป็น อาณาจักรแห่งการพักผ่อนมากกว่า เพราะกว้างขวางเหลือเกิน โอบล้อมด้วยทิวเขาและภูผา ต้นไม้หนาแน่น นี่ขนาดแวะมาหน้าร้อนนะ ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวคงเหมือนได้อยู่ในบ้านพักส่วนตัวริมป่าแถบยุโรปแน่นอน และเหมือนมีการเปรียบไว้ว่า โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ แห่งนี้ เป็นเสมือนที่พักสไตล์ สวิตเซอร์แลนด์ของไทย
ที่ โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ มีห้องพัก หรือจะเรียกว่าบ้านพักก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก เราแอบไปถามพนักงานของโรงแรมมา เลยได้ความกระจ่างว่าที่นี่มีห้องพักแบบซูพีเรียและเอ็กเซ็กคูทีฟจำนวน 80 ห้อง และห้องดีลักซ์ในสไตล์ชาเล่ต์อีก 52 หลัง
สิ่งหนึ่งที่เราชื่นชมและชอบมาก คือการออกแบบการจัดวางพันธุ์ไม้ดอกและไม้ประดับ หรือ Flower Landscape อย่างที่สวน Keukenhof ในเนเธอร์แลนด์ที่มีการออกแบบและจัดวางใหม่ในทุกปี ใครที่เคยไปมาแล้วก็ทราบดีว่าไม้ดอกไม้ประดับทุกต้นในสวนล้วนผ่านการคิดและวางแผนมาแล้วอย่างดีว่าจะให้ดอกอะไร สีไหน อยู่ด้วยกัน หรือปลูกอย่างไรให้สวนสวยงามตระการตาเมื่อดอกไม้เบ่งบานในเวลาเดียวกัน ซึ่งที่ โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ แห่งนี้ อาจไม่ได้สวยอลังการงานสร้างขนาดนั้น แต่ก็พูดได้ว่ามีการวางแพลนและจัดวางไม้ดอกไม้ประดับต่างชนิดได้สวยงามและชวนให้รื่นรมย์ได้ตลอดวัน
อีกหนึ่งความดีงามของ โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ คือมีส่วนที่เป็น Adventure Park สำหรับแขกที่มาเข้าพักพร้อมสมาชิกในครอบครัวในวัยที่โหยหาการปล่อยพลังความซน ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ที่อยากออกแรงออกกำลังกายกับเครื่องเล่นแนวผาดโผนหรือกิจกรรมท้าทายความกล้า มีตั้งแต่การยิงธนู กำแพงเชือก หรือแม้แต่ Flying Trapeze
ลืมบอกไปว่า ที่ โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ กำลังมีโปรโมชั่นอยู่ตอนนี้ คือจองและเข้าพักตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2561 จะได้รับสิทธิ์เข้าพัก 1 คืน ฟรี 1 คืน ที่ห้องพานอรามา ซูพีเรีย พร้อมอาหารเช้า สำหรับสองท่าน รวมถึงบริการรถรับส่งไป- กลับ จากรีสอร์ตไปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ฟรี และขยับเวลาในการ check out ได้ถึง 3 โมงเย็น สามารถโทร.สอบถามหรือจองห้องพักได้ที่ โทร 05675 0056 หรือที่ www.imperialphukaewresort.com เป็นโปรโมชั่นที่ดีงามและเกินคำว่าคุ้มค่าจริงๆ กับที่พักที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบอย่างนี้
บรรยากาศภายในห้องพัก
วิวจากห้องอาหารของทางโรงแรมกับมื้อเช้า มุมนี้เหมือนอยู่บนเขาในประเทศแถบยุโรปเลยครับ
CAFE ON THE HILL
หลังอาหารเช้า หากไม่รีบเร่งออกไปเที่ยวนอกโรงแรม แล้วอยากจิบกาแฟร้อนๆ พร้อมชมวิวจากมุมสูง ขอแนะนำว่าลองสอบถามจากพนักงานว่าอยากไปนั่งคาเฟ่บนภูใกล้ๆ พนักงานจะแนะนำวิธีการเดินทางไปยังคาเฟ่แห่งนี้ให้ครับ (คาเฟ่แห่งนี้ไม่ใช่คาเฟ่ของ โรงแรม อิมพีเรียลภูแก้ว ฮิลล์ รีสอร์ต เขาค้อ นะครับ)
จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อรู้มาว่าที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ มีแมงกะพรุนน้ำจืดอยู่ที่ลำน้ำเข็ก ซึ่งในโลกนอกจากจะมีที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ก็จะพบเห็นได้ในประเทศในแถบเอเชียเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้น การได้รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาเจอตัวเป็นๆ ถือเป็นเรื่องที่เกินคำว่า “โชคดี” อย่างแน่นอน
หลายคนอาจสงสัยว่าแมงกะพรุนน้ำจืดนั้นต่างจากแมงกะพรุนที่เราคุ้นเคยดีในทะเลยังไง แมงกะพรุนน้ำจืดมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Freshwater Jellyfish เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสกุลหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มแมงกะพรุนที่อยู่ในชั้นไฮโดรซัว ต่างจากแมงกะพรุนที่พบในทะเลที่ส่วนมากจะอยู่ในชั้นไซโฟซัว และมีชื่อสกุลว่า Craspedacusta
ลักษณะของรูปทรงโดยรวมนั้น ก็มีความคล้ายกับแมงกะพรุนที่พบในทะเล คือมีลักษณะโปร่งแสง ใส สีขาว มีเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวเพียง 1-2 เซนติเมตรเท่านั้น จัดเป็นแมงกะพรุนที่มีขนาดเล็กมาก บริเวณขอบร่างกายมีหนวดเล็กๆ ซึ่งมีผิวเป็นปุ่มเล็กๆ ตรงส่วนนี้จะมีเข็มพิษอยู่จำนวนมาก หากโดนเข้าก็จะมีอาการคันหรือปวดแสบปวดร้อนได้ และบริเวณกลางลำตัวของแมงกะพรุนน้ำจืดจะมีปากที่ยื่นยาวคล้ายแตร ที่ขยายออกบริเวณช่องเปิดด้านล่าง และบริเวณขอบด้านในของร่างกายที่มีลักษณะคล้ายร่ม จะมีกล้ามเนื้อบางๆ เรียงตัวในแนววงแหวนโดยรอบ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่ทำให้แมงกะพรุนน้ำจืดจัดอยู่ชั้นไฮโดรซัว
เราตั้งใจไปเข้าชั้นเรียนระบบระบบนิเวศวิทยาที่สมบูรณ์ด้วยการจัดการที่ชาญฉลาดของธรรมชาติ เพื่อทักทายน้องแมงกะพรุนน้ำจืด ที่ลำน้ำเข็ก แก่งวังน้ำเย็น อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ ซึ่งที่นี่ถือเป็นเขตอนุรักษ์และส่งเสริมการขยายพันธุ์แมงกะพรุนน้ำจืด ซึ่งค้นพบครั้งแรกเมื่อราวๆ ปี 2548-2549 ซึ่งบริเวณที่พบนั้นอยู่ที่บริเวณแก่งสอง ในลำนำเข็ก จะมีชาวบ้านนำเรือพายมารอให้บริการซึ่งมีประมาณ 11 ลำ โดย 1 ลำ นั่งได้ 4 คน ค่าบริการเพียงคนละ 200 บาท ให้บริการถึงราวๆ 5 โมงเย็น
ระหว่างทางในลำน้ำเข็ก ก่อนไปถึงบริเวณแก่งสอง ให้บรรยากาศเหมือนการล่องเรือในแม่น้ำที่ขนาบข้างไปด้วยผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และพันธุ์ไม้แปลกตา เคล้าคลอด้วยเสียงจากพงไพรที่ขับกล่อมให้การล่องเรือได้รื่นรมย์มากขึ้น ส่วนการพบเจอแมงกะพรุนน้ำจืดนั้น ต้องลุ้นกันที่ปลายทางว่าจะพบเจอในจำนวนมากน้อยขนาดไหน ซึ่งหากมีการปล่อยสารปนเปื้อนลงในลำนำเข็กทำให้ระบบนิเวศไม่สมบูรณ์ ปริมาณการพบเจอก็อาจน้อยลงตามไปด้วย
ที่แก่งสองในลำนำเข็กแห่งนี้ ยังมีโป่งผีเสื้อ ที่ได้รับการยอมรับจากนักดูผีเสื้อว่าที่นี่ถือเป็นหนึ่งที่มีโอกาสพบเจอผีเสื้อพันธุ์ที่หายากอยู่เหมือนกัน การล่องเรือมาชมแมงกะพรุนน้ำจืดที่นี่ จึงเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
STRAWBERRY SUMMER
นับตั้งแต่ปี 2551 เทรนด์การปลูกสตรอว์เบอร์รีที่เขาค้อได้รับความนิยมค่อนข้างมาก เหตุผลหนึ่งก็มาจากการเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่จำหน่ายแล้วได้ราคาสูง นักท่องเที่ยวชอบ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการปลูกกระจายอยู่ทั่วเขาค้อ เช่นที่ตำบลทุ่งสมอ ตำบลริมสีม่วง ตำบลเขาค้อ ตำบลหนองแม่นา และบางส่วนอยู่ที่ตำบลเข็กน้อย ตำบลแคมป์สน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ตำบลทุ่งสมอ และตำบลเขาค้อที่พูดได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีไร่สตรอว์เบอร์รีมากที่สุด
การมาเยือนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ในช่างปลายหนาวช่วงรอยต่อสู่หน้าร้อน พบว่ายังมีหลายไร่ที่ยังมีสตรอว์เบอร์รีให้ได้มีโอกาสเข้าไปเก็บเกี่ยว ชิม และถ่ายรูปกัน ซึ่งเกษตรกรที่เข้ามาปลูกสตรอว์เบอรี่บนเขาค้อ 90% นั้นเป็นชาวม้งจากจังหวัดเชียงใหม่ โดยจะนำอุปกรณ์และปุ๋ยขี้วัวมาเอง หรือส่วนมากก็จะเป็นญาติกันกับชาวม้งที่เพชรบูรณ์ ซึ่งสตรอว์เบอร์รี พันธุ์ที่ปลูกที่เขาค้อนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์พระราชทาน 80 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เมื่อเด็ดมากินสด จะได้รสชาติหวาน และให้ผลผลิตที่ค่อนข้างดี หากมาเที่ยวเพชรบูรณ์ในช่วงต้นหน้าร้อน ก็อย่าลืมแวะมาลิ้มรสสตรอว์เบอร์รีกันนะ
REST WITH THE WIND
อีกหนึ่งหมุดหมายที่มาเขาค้อแล้วไม่ควรพลาด คือ การมาเยือน “โครงการทุ่งกังหันลมเขาค้อ” ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานลม จากกังหันลมขนาดใหญ่จำนวน 24 ต้น บนยอดเนินเขาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,050 เมตรความน่าสนใจของโครงการนี้ ที่นอกเหนือจากการมีพื้นที่ที่ใหญ่และกว้างขวางมากถึง 350 ไร่ แล้ว ยังมีกังหันลมมากถึง 24 ต้น ซึ่ง 1 ต้น มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 2.5 เมกะวัตต์ นั่นคือรวม 24 ต้น จะได้พลังงานฟ้ารวม 60 เมกกะวัตต์ หรือพูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ทุกพื้นที่ของ อ.เขาค้อ จะมีไฟฟ้าใช้ได้อย่างสบายๆ
เมื่อมาถึงที่โครงการทุ่งกังหันลม จะมีรถรางนำชม ซึ่งหากขับรถมาเองไม่ว่าจะเป็นรถประเภทไหน ก็ต้องจอดไว้ในที่จอดรถที่จัดไว้ให้ ทั้งนี้ค่าบริการสำหรับการนั่งรถรางอยู่ที่เพียงคนละ 40 บาท เท่านั้น
ระหว่างนั่งรถรางชมทุ่งกังหันลม เจ้าหน้าที่ประจำรถ จะคอยอธิบายและให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความเป็นมา คุณประโยชน์ การดูแล เช่น เล่าว่ากังหันลมแต่ละต้นนั้นมีความสูงถึง 110 เมตรจากพื้นดิน ปีกใบพัดกว้าง 3 เมตร ยาวข้างละ 60 เมตร หรือมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 120 เมตร และต้นทุนต้นละ 250 ล้านบาท ผลิตพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีราว 140 ล้านหน่วย นั่งชมวิว ชมความอลังการ และรับฟังข้อมูลต่างๆ จนมาถึงจุดจอดรถราง ที่จะมีของกินเล่นขาย มีจุดให้ถ่ายรูป รวมถึงชิงช้าของชาวเขา และที่นี่ก็ทำให้เราได้รู้จักกับ ลูกค้อ ที่มาจากต้นค้อ อันเป็นที่มาของชื่อ “เขาค้อ”
ต้นค้อ หรือ หมากค้อ ชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกขานเป็นพืชในตระกูลปาล์ม มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Livistona speciosa และมีชื่อวงศ์ว่า PALMAE ผลค้อหรือลูกค้อ เมื่อสุกแล้วให้ปอกเปลือกสีน้ำเงินออก เนื้อสีเหลืองด้านในกินได้รสชาติจะมันๆ หน่อย บางคนก็นิยมนำไปจิ้มกับน้ำตาล บางคนก็ว่าจิ้มกับเกลืออร่อยกว่า ส่วนเม็ดนั้นกินไม่ได้และแข็งมากด้วยครับ ปัจจุบันนี้ต้นค้อเหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น เฉพาะที่ทุ่งกังหันลมแห่งนี้ เห็นว่าเหลืออยู่เพียง 2 ต้น สุดท้ายเท่านั้น
และในจุดชมวิวของทุ่งกังหันลมแห่งนี้ ก็จะมีเพิงขายอาหารและของกินท้องถิ่นไว้ให้ฝากท้องด้วย ซึ่งหนึ่งในอาหารที่น่าสนใจคือ “ข้าวหลามลืมผัว” จริงๆ มีขายหลายที่เหมือนกันในเขตเมืองเพชรบูรณ์ พูดได้ว่าจอดรถแวะที่ไหน ก็มีโอกาสอย่างมากที่จะพบเจอ ซึ่งความจริงแล้ว “ข้าวหลามลืมผัว” มาจาก ข้าวหลาม + ข้าวลืมผัว
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ข้าวลืมผัว เป็นข้าวเหนียวดำพื้นเมือง ที่ปลูกโดยกลุ่มชาวม้ง ในจังหวัดตาก โดยจะปลูกบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 650 เมตร โดยเป็นหนึ่งในกลุ่มพันธุ์ข้าวเหนียวดำที่พี่น้องม้งเรียกรวมๆ กันว่า "เบล้ฉัง" นิยมปลูกเพื่อใช้ทำขนมพิเศษในโอกาสปีใหม่ โดยจะนำข้าวไปนึ่ง แล้วตำให้เหนียว ห่อด้วยใบตอง ย่างไฟจนหอม รับประทานกับน้ำอ้อย นมข้นหวาน หรือน้ำตาล เรียกว่า "จั๋ว" แต่ระยะหลังก็มีการนำมาปลูกในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ รวมถึงในพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ด้วย ดังนั้น “ข้าวหลามลืมผัว” จึงเป็นการตั้งชื่อเพื่อสร้างจุดขายเพื่อให้ผู้ซื้อมีความสนใจมากขึ้น ก็ถือว่าค่อนข้างได้ผลนะ เพราะคนที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามาจากการใช้ “ข้าวลืมผัว” เห็นป้ายแล้วก็จะสนุกสนานเฮฮากันไป
MONASTERY OF ART
มาเที่ยวเพชรบูรณ์แล้ว หากไม่แวะมาเยือน “วัดผาซ่อนแก้ว” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พลาดแล้วไม่น่าให้อภัยจริงๆ เพราะสถานที่แห่งนี้นอกจากมากคุณค่าสำหรับพุทธศาสนิกชนแล้ว ยังมีเรื่องราวและงานศิลปะที่ควรค่าแก่การใช้เวลามาชื่นชมและศึกษาในหลายแง่มุมของการรังสรรค์และสร้างสรรค์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
วัดพระธาตุผาช่อนแก้ว ตั้งอยู่ในสถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบซึ่งบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ในอดีตเคยมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกตามๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และเมื่อมีการสร้างพุทธสถานในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาแห่งนี้จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว”
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด โดยใช้ชื่อว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”
บริเวณโดยรอบของพระอาราม “วัดพระธาตุผาช่อนแก้ว” ที่เรียกว่าแทบจะทุกตารางนิ้ว เป็นการตกแต่งจากเศษกระเบื้องเซรามิค ที่ทางโรงงานเซรามิคต่างๆ เช่น ถ้วยโถโอชามเบญจรงค์ ได้นำชิ้นงานที่ไม่ได้คุณภาพหรือแตกหักมาถวายให้กับทางวัด เพื่อทำการแยกลายแยกสี แล้วนำไปตกแต่งตามแนวคิดการออกแบบของเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่ทั่วทั้งวัด ซึ่งวิธีการนี้คล้ายๆ งานของศิลปินระดักโลกซึ่งเป็นสถาปนิกชาวสเปนชื่อ Antoni Gaudí กับผลงานPark Güell ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน สวนสวรรค์แห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้เศษเซรามิคชิ้นเล็กชิ้นน้อยตกแต่งได้อย่างงดงามและอลังการ
ภายในวัดพระธาตุผาช่อนแก้ว มีสถานที่สำคัญที่เราอยากแนะนำและขอบอกเลยว่าไม่ควรพลาดจริงๆ
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต
เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว มีความวิจิตรงดงามด้วยการออกแบบและให้ความสำคัญในรายละเอียดแทบจะทุกตารางมิลลิเมตร ในส่วนของรูปร่างขององค์เจดีย์ สร้างเลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน 7 ชั้น และสีสันที่สดใสของเจดีย์ เกิดจากการนำเศษกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน เงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาและตกแต่งเป็นลวดลายที่มีความหมายในทางธรรม ซึ่งเป็นทั้งหลักธรรม คำสอน อนิจจัง ความเป็นไปของโลก ที่ซ่อนอยู่ในงานศิลปกรรม ประติมากรรม ตามการตีความของผู้พบเห็นแต่ละคน
นอกจากจะงดงามและโดดเด่นในการวางรูปแบบงานสถาปัตยกรรมแล้ว บนยอดเจดีย์ยังได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ยังใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน, ภาพปริศนาธรรม และยังใช้เป็นสถานที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป
มหาวิหาร พระพุทธเจ้า 5 พระองค์
ฐานด้านล่างมีขนาดความกว้าง 41 เมตร ยาม 72 เมตร และสูง 45 เมตร แบ่งเป็น 6 ชั้น โดยส่วนของชั้นที่ 1 และ 2 ได้จัดเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม ส่วนบริเวณชั้นอื่นๆ นั้น ใช้เป็นที่ประกอบศาสนากิจ ได้แก่ การสวดมนต์ ฟังธรรม และการปฏิบัติภาวนา โดยภายในมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ไว้สำหรับการสักการะ
ศาลาพระหยกเขียว
เป็นศาลาปฏิบัติธรรมรูปทรงจตุรัสโปร่ง รายรอบด้วยบานกระจกขนาดใหญ่ และโอบล้อมด้วยธรรมชาติของขุนเขาเขียวชอุ่ม พร้อมทั้งมีสวนดอกไม้ ต้นไม้นานาพรรณโดยรอบ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่สร้างจากหยกสีเขียวอย่างงดงาม หากโชคดีอาจได้พบนกยูงที่เดินอยู่รอบๆ มารำแพนให้ได้เห็นเป็นบุญตา
ถือเป็นทริปการเที่ยวเพชรบูรณ์หน้าร้อนที่คุ้มค่า และน่ารื่นรมย์ไม่แพ้ที่ไหนๆ เลยนะครับ จริงๆ แล้วอยากบอกว่าเพชรบูรณ์นี่น่าจะเที่ยวได้ตลอดปี ไม่จำเป็นต้องแห่ไปเบียดๆ กันเฉพาะตอนหน้าหนาวอย่างเดียวเท่านั้น
อ่านมาถึงตรงนี้ ใครจะแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวไปเยือนเพชรบูรณ์แล้วตามรอย AWAY ก็ช่วยมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ